Page 6 - สิทธิชุมชนในมุมมองระดับโลก
P. 6
ตะวันตก นับแต่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา หากจะขอ
ยืมเอาวลียอดนิยมของ แซมมวล ฮันติงตัน มาใช้ คงต้องกล่าวว่า นี่ต่างหากที่เป็น ‚การปะทะกัน
ของอารยธรรม (clash of civilizations)‛ ที่แท้จริง แต่เกิดขึ้นในบริบทของการปะทะกันระหว่างโลกาภิ
วัตน์กับการฟื้นฟูท้องถิ่น หรืออาจจะใช้ศัพท์แสงคุ้นหูแบบเศรษฐศาสตร์การเมือง ก็อาจเรียกได้ว่า
เป็นการปะทะกันระหว่างระบอบรวบอ านาจเบ็ดเสร็จระดับโลกกับการปลดปล่อยและประชาธิปไตย
ระดับรากหญ้า กระแสการเผชิญหน้าทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้คงจะเป็นสถานการณ์หลักของ
ศตวรรษที่ ๒๑ ที่ก าลังด าเนินไปอยู่นี้ เราจึงควรส ารวจพิจารณาพลังผลักดันทั้งในแง่บวกและแง่ลบ
เพื่อร่วมกันหาวิถีและวิธีการในการถางทางให้สังคมโลกของเราด าเนินสู่เสรีภาพ ความยุติธรรม
เสถียรภาพและสันติวิธีอันแท้จริง
ฐานคิดระดับโลกในลักษณะที่ก้าวหน้าและเป็นประชาธิปไตย
ข้อพิจารณาข้างต้นเชื่อมโยงประเด็นทั้งหมดสู่โลกของการเมืองด้านสิทธิมนุษยชน เราจึงควร
มาดูกันว่ามันเป็นไปอย่างไรในชีวิตจริง โดยจะขอน าเสนอประเด็นเชื่อมโยงกันสองประการให้
พิจารณาในเบื้องต้น ประการแรกเกี่ยวกับธรรมชาติและความเป็นจริงในเรื่องสิทธิมนุษยชนเอง และ
อีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการจัดตั้งเครื่องมือระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนในแบบที่ก้าวหน้าและ
เป็นประชาธิปไตยในส่วนของสหประชาชาติ
ในประการแรก สิทธิมนุษยชนไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเพราะมีใครหยิบยื่นให้ ดังที่ โทนี่ เอแวนส์
ได้ตั้งข้อสังเกตจากประวัติศาสตร์ว่า สิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ‚เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและพิทักษ์
รักษาข้ออ้างโดยศีลธรรม ซึ่งสร้างความชอบธรรมให้กับผลประโยชน์เฉพาะต่าง ๆ‛ หรือตามที่ นีล
สแตมเมอรส์ สรุปได้อย่างรัดกุมว่า ‚แนวคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนนั้น ประชาชนเป็น
3
ผู้สร้างขึ้น ในสถานการณ์เฉพาะทางประวัติศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ‛ และหากมองจากความ
เป็นจริงที่เกิดขึ้น ก็จะเห็นได้ว่า สิทธิมนุษยชนเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการต่อสู้ และมิได้เป็นสมบัติ
ของวัฒนธรรมหรือจารีตใดเป็นการเฉพาะเลย ความข้อนี้ ไฮเนอร์ บีลเฟลด์ ได้วิเคราะห์สรุปไว้
อย่างชัดเจนว่า
“....สิทธิมนุษยชนไม่ได้พัฒนาขึ้นในฐานะ “การผลิบานโดยธรรมชาติ” ของแนวคิด
มนุษยนิยมที่ฝังรากลึกอยู่ในจารีตทางวัฒนธรรมและศาสนาของยุโรป ในทาง
ตรงกันข้าม ประชาชนในโลกตะวันตก ก็ต้อง (และยังต้อง) ต่อสู้ให้สิทธิของพวก
เขาได้รับการเคารพเช่นกัน....สิทธิเหล่านี้....เป็นการบรรลุผลที่เกิดจากความขัดแย้ง
ทางการเมือง เป็นเวลายาวนาน ในช่วงกระบวนการเข้าสู่ภาวะสมัยใหม่ของยุโรป
หาได้เป็นมรดกนิรันดรจากขุมทรัพย์ทางวัฒนธรรมอันเป็นแบบฉบับของยุโรปแต่
อย่างใดเลย”
4
ในแง่นี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเถียงกันอีกต่อไป ว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น เราควรจะใช้
มุมมองแบบสารัตถนิยมหรือสัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรม ฝ่ายสารัตถนิยมก็ยกให้ตะวันตกผูกขาดค า
จ ากัดความของสิทธิมนุษยชน ฝ่ายสัมพัทธนิยมก็ใช้ความไม่เป็นตะวันตกปฏิเสธความเป็นสากล
๔