Page 10 - สิทธิชุมชนในมุมมองระดับโลก
P. 10
พื้นเมืองและชุมชนชนบทในทุกวันนี้มิได้ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในประเด็นเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุด ก็มี
มติสาธารณะส่วนหนึ่งและขบวนการประชาชนเป็นอันมาก เริ่มให้ความสนับสนุนอย่างเปี่ยมด้วย
ความหมาย แม้ว่าจะยังต้องเผชิญหน้ากับอ านาจครอบง าต่างๆ มากมายก็ตาม
การเมืองระดับโลกว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในลักษณะล้าหลังและอ านาจนิยม
องค์ประกอบหลักอันสัมพันธ์กันสองประการที่ขวางกั้นเส้นทางพัฒนาการสู่เสรีภาพและ
ความก้าวหน้าของมวลมนุษย์ ก็คือ แนวความคิดเดิมๆ ประการหนึ่ง และระบบตลาดรวบอ านาจ
เบ็ดเสร็จ อีกประการหนึ่ง องค์ประกอบประการแรกนั้นเป็นเรื่องของค าจ ากัดความว่าด้วยสิทธิ
มนุษยชนที่ตกทอดมาจากอดีต แน่นอนว่าโลกตะวันตกในอดีตเป็นผู้จุดประกายโลกทั้งผอง ด้วย
แนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่แล้วโลกตะวันตกก็กลับติดอยู่
กับแนวคิดเหล่านั้นที่พัฒนาขึ้นใน ‚สภาพการณ์เฉพาะทางประวัติศาสตร์ สังคมและเศรษฐกิจ‛ ของ
ศตวรรษที่สิบเจ็ดและสิบแปด นี้เป็นเหตุให้ความหมายและขอบข่ายของสิทธิมนุษยชนถูกจ ากัดวงให้
แคบอยู่เพียงสิทธิที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพปัจเจกชน สิทธิในทรัพย์สิน และหลักนิติธรรม หรือกล่าว
โดยย่อ ก็คือบรรดาสิทธิที่ด าเนินการทางตุลาการได้ ความข้อนี้เห็นได้ชัดจากข้อโต้แย้งของ เจเรมี
เบนแธม ที่มีต่อค าประกาศของการปฏิวัติฝรั่งเศส ว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมือง ซึ่งเป็นค า
ประกาศสิทธิตามธรรมชาติอันมิอาจแปลกแยกจากประชาชนทั้งปวงได้ โดยเบนแธมได้วิจารณ์อย่าง
แรงว่า
“สิทธิ...เป็นลูกของกฎหมาย จากกฎหมายของจริง จึงเกิดมีสิทธิของจริง….แต่
จากกฎฝันเฟื่อง จากกฎธรรมชาติ ที่นึกฝันปั้นแต่งโดยกวี นักโวหาร และนักค้ายา
พิษทางศีลธรรมและภูมิปัญญา จึงเกิดมีสิทธิประเภทฝันเฟื่อง อันเปรียบได้กับฝูง
8
ลูกอ่อนนอกสมรสของเหล่าอสุรกาย”
นี่จึงเป็นเหตุให้ในโลกตะวันตก บรรดาสิทธิในทางเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มชนมักถูกมอง
ว่าอยู่นอกมาตรฐานสิทธิมนุษยชน และถือเป็นเพียงเรื่องของนักมนุษยธรรมและผู้มีความกรุณา
รวมทั้งเป็นเรื่องของสวัสดิการทางสังคม ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นไป ทั้งๆ ที่ทางสหประชาชาติก็ได้เน้น
ย้ ามานานพอสมควรแล้ว ถึงหลักแห่งการอิงอาศัยซึ่งกันและกันและมิอาจแบ่งแยกจากกันได้
ระหว่างสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองในด้านหนึ่ง กับสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมใน
อีกด้านหนึ่ง เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเมื่อมองในแง่ประวัติศาสตร์ เพราะแท้ที่จริงแล้ว
พลังผลักดันจริงๆ ที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติเสรีนิยมในอดีต ก็มิใช่อะไรอื่นนอกจากชนชั้นพาณิชย์และ
ชนชั้นกลาง หรือพวกที่มีทรัพย์ และแม้ตราบทุกวันนี้ บรรดาคุณค่าและจารีตแบบเสรีนิยมที่ยัง
เทิดทูนกันอยู่ ก็ยังได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังผลักดันเดียวกันนี้ โดยมีทัศนคติพื้นฐานเป็นปฏิปักษ์
ต่อทั้งรัฐและพวกที่ไม่มีทรัพย์ ความเป็นปฏิปักษ์ประการหลังนี้ยังคงเป็นเป้าที่ส าคัญอยู่ ทั้งนี้เพราะ
นักเสรีนิยมก็ได้ครองอ านาจรัฐเองแล้ว ดังนั้นในบริบทที่ว่านี้ จึงไม่แปลกอะไรที่เสรีภาพของ
พลเมืองและเสรีภาพทางการเมืองจะถือเป็นมาตรฐานของสิทธิมนุษยชน และมาตรฐานนี้ก็ไม่ควรไป
๘