Page 3 - โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง สิทธิชุมชนและผลกระทบโครงการพัฒนาภาคใต้
P. 3
(๒)
เวทีประชุมเชิงปฏิบัติการรวมของกรณีศึกษาทั้ง ๔ จังหวัดอีก ๑ ครั้ง เพื่อนําผลการประชุมเชิง
ปฏิบัติการในระดับจังหวัด มาร่วมกันสังเคราะห์ข้อมูลระดับภาค และจัดทําร่างข้อเสนอรวมต่อโครงการ
พัฒนาภาคใต้
การพัฒนาที่ผ่านมาเป็นการกระทําของรัฐที่ใช้อํานาจเข้ามาจัดการทรัพยากรของชุมชน โดย
ถือว่าชุมชนไม่มีตัวตนและสิทธิทางกฎหมาย และ ละเมิดสิทธิของชุมชนที่เคยมีอยู่เหนือทรัพยากรของ
ชุมชน ทําให้ชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของตนเองและสิทธิของชุมชน จนในที่สุด
นําไปสู่การมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และ พุทธศักราช
๒๕๕๐ ที่ได้มีการยอมรับสิทธิของชุมชน ซึ่งเป็นสิทธิโดยธรรมชาติหรือสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชน รวมทั้ง
เป็นอํานาจอันชอบธรรมที่ชุมชนพึงมีพึงได้อย่างถูกต้องชอบธรรม ซึ่งผู้อื่นต้องยอมรับและจะละเมิดหรือ
ลิดรอนมิได้ และยังหมายรวมถึงการให้ชุมชนชาวบ้านมีสิทธิในการเลือกอนาคตของตัวเอง เป็นตัวของ
ตัวเอง และเป็นอิสระโดยตัวเอง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้มีการยอมรับ
สิทธิชุมชนเหนือทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในชุมชนนั้นมากกว่าสิทธิของรัฐและสิทธิของเอกชนที่มีมาแต่
เดิม รวมทั้งทําให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิชุมชนได้โดยไม่ต้องรอให้มีการออกกฎหมายต่าง ๆ เสียก่อน
นอกจากนี้ยังมีการคุ้มครองสิทธิชุมชนโดยบัญญัติให้โครงการที่อาจก่อผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง
จะต้องมีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของ
ชุมชนและประชาชน ก่อนที่จะมีการดําเนินโครงการและรับรองสิทธิของชุมชนในการฟ้องร้องหน่วยงาน
รัฐให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ดังรายละเอียดตามบทบัญญัติในส่วนที่ ๑๒ ว่าด้วยสิทธิชุมชน ตามมาตรา
๖๖ และ มาตรา ๖๗
จากผลการศึกษาผลกระทบของโครงการพัฒนาภาคใต้ต่อสิทธิชุมชนเป็นชุดแผนงาน และ
โครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบกว้างขวางหลากหลายมิติ อันมีส่วนสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับสิทธิ
มนุษยชนในมิติต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจนกับการพัฒนา อันประกอบไปด้วยสิทธิในการ
กําหนดอนาคตและเจตจํานงของตนเอง สิทธิในการพัฒนา สิทธิในมาตรฐานการครองชีพ สิทธิเสรีภาพ
ในการแสดงความคิดเห็นการแสดงออก และการรับหรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รวมถึงสิทธิในการชุมนุม
โดยสงบ ซึ่งได้มีการบัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้แก่
บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในการกําหนดอนาคตและเจตจํานงของตนเอง และสิทธิในการพัฒนา ซึ่งไม่มี
บทบัญญัติโดยตรงสิทธิเหล่านี้ได้รับการรับรองผนวกไว้กับสิทธิด้านอื่น ๆ ในมาตรา มาตรา ๒๖ ไว้ว่าการ
ใช้อํานาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคํานึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ และ
มาตรา ๕๗ ที่ให้รัฐต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดําเนินการ
วางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม มาตรา ๗๘ ที่รัฐต้องการกระจายอํานาจให้
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นได้เอง ส่งเสริมให้องค์กรปกครอง