Page 8 - รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาวิจัยเรื่องการเลือกปฏิบัติในการประกอบอาชีพของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
P. 8
III
สงผลใหบุคคลเกิดการตอตานจากสังคมโดยผูที่ถูกตีตราบาปจะถูกมองจากคนในสังคมวาเปนผูที่มี “ลักษณะ
2
เดนที่ทําใหเกิดการเสื่อมเสีย” (Spoiled Identity)
บุคคลมีแนวโนมที่จะถูกสังคมตีตรามีลักษณะ 3 ประการไดแก มีความผิดปกติทางกายภาพ เชน
รางกายพิการหรือดอยความสามารถ มีความเบี่ยงเบนทางดานวัฒนธรรมหรือกฎเกณฑมาตรฐานของสังคม
เชน คนที่มีความผิดปกติทางจิต คนติดยา หรือผูมีพฤติกรรมรักรวมเพศ และความแตกตางทางเผาพันธุเชื้อ
ชาติชนชั้นศาสนาเชนชนกลุมนอย
การตีตราเปนการใหความหมายทางสังคมที่สงผลตอการรับรูของบุคคลในทางลบการรับรูนี้อาจเปนสิ่ง
ที่สัมผัสไดหรืออาจจะสัมผัสไมไดบุคคลที่มีลักษณะพึงประสงคจะรูสึกอยูเหนือกวา (Superior) สวนบุคคลที่มี
ลักษณะไมพึงประสงคจะรูสึกต่ําตอย (Inferior)กระบวนการตีตราบาปจึงเปนผลจากการเปรียบเทียบทางสังคม
ทําใหเกิดการแบงแยกและการลดคุณคาการตีตราจึงเปนตนทางของปญหาการเลือกปฏิบัติที่ตามมา
สาเหตุของการเลือกปฏิบัติและการตีตราตอผูติดเชื้อเอชไอวี
Richard Parker et.al. ชี้ใหเห็นวาสาเหตุสําคัญของการตีตราและการเลือกปฏิบัติของผูติดเชื้อ
เอชไอวีวา นอกจากจะมาจากการถูกจัดประเภทวาไมปกติ ทั้งในแงของพฤติกรรมทางเพศที่ผิดไปจากคนทั่วไป
เชื้อชาติ (เชน มายาคติทางเชื้อชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของคนผิวดํา) และชนชั้น (คนจนมีความเสี่ยงใน
การติดเชื้อมากกวาคนรวย) แลว ยังมาจากความหวาดกลัวการติดเชื้อและอาการของโรคดวย สาเหตุของ
การตีตราและเลือกปฏิบัติเหลานี้ มักมีความเชื่อมโยงและสงอิทธิพลซึ่งกันและกัน และยิ่งทําใหปญหาการตีตรา
และเลือกปฏิบัติหยั่งรากลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเขาเรียกวงจรนี้วาเปน วงจรอุบาทวของการตีตราและเลือก
ปฏิบัติตอผูติดเชื้อ (the vicious circle of stigma and discrimination) ซึ่งเกิดขึ้นสืบเนื่องกันดังนี้ ขั้นแรก
เนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวีมักเกี่ยวของกับกลุมหรือผูที่มีพฤติกรรมที่ผิดไปจากคนสวนใหญในสังคม บุคคลที่
ติดเชื้อมักจะถูกตั้งขอสันนิษฐานวา เปนคนชายขอบของสังคมและอาจจะถูกตีตราในสิ่งที่พวกเขาไมเคยเปน
เชน บางครั้งผูชายอาจจะเกรงวาการเปดเผยวาตนติดเชื้อเอชไอวี จะทําใหถูกมองวาตนเองเปนกลุมรักรวมเพศ
หรือผูหญิงก็อาจจะไมอยากเปดเผยเพราะเกรงจะถูกมองวาเปนผูหญิงสําสอน เปนกลุมคาบริการ ขั้นที่สอง
การตีตราและการเลือกปฏิบัติเปนการซ้ําเติมอาการของผูติดเชื้อมีความเสี่ยงมากกวาเดิม ทําใหพวกเขายิ่งถูกตี
ตราและกีดกันมากยิ่งขึ้น
ระเบียบวิธีการศึกษา
การศึกษาวิจัยเรื่องการเลือกปฏิบัติในการประกอบอาชีพของผูติดเชื้อเอชไอวี เปนการวิจัยแบบมี
สวนรวม (Participatory Research) ซึ่งเปนการวิจัยที่เปดโอกาสใหผูมีสวนไดสวนเสีย (Stakeholders) ไดมา
สรางความรูรวมกัน (co-production of knowledge) โดยอาศัย “การประชุมเชิงปฏิบัติการของผูมีสวนได
สวนเสีย ครั้งที่ 1” (stakeholder’s workshop #1) เปนเวทีในการเริ่มตนตั้งโจทยวิจัย การพัฒนาเครื่องมือ
รวมกัน
การวิจัยแบบมีสวนรวมนี้ มีจุดเดนในแงที่นอกจากจะทําใหผูวิจัยสามารถเก็บขอมูลไดอยางลุมลึก รอบ
ดานแลว ยังเปนโอกาสในการเสริมพลังทางดานความรูใหกับผูมีสวนไดสวนเสียที่มีสวนรวมในการวิจัยดวย
2
Erving Goffman. Stigma : Note on the Management of Spoiled Identity. Harmondsworth: Penguins Book,
1963 อางถึงใน นิฮาฟซา หะยีวาเงาะ, ทัศนคติเกี่ยวกับโรคเอดสและการตีตราทางสังคม :กรณีศึกษาชุมชนมุสลิมในจังหวัด
ปตตานี, วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต สาขาพัฒนามนุษยและสังคม (สหสาขาวิชา) บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย, 2555, หนา 18-19.