ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ หมวดสอง ได้บัญญัติให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สำนักงาน กสม.) เป็นส่วนราชการสังกัดรัฐสภาตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบปฏิบัติราชการฝ่ายรัฐสภาโดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (นักบริหาร ๑๑) รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักงานฯ โดยเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการ พนักงานราชการและลูกจ้าง (พนักงานจ้างเหมา) ของสำนักงาน กสม. ทำหน้าที่จัดระบบการบริหารจัดการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การจัดงบประมาณสนับสนุน การจัดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศฯลฯ โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑) รับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๒) รับคำร้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและดำเนินการสืบสวน หรือตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องที่มีการยื่นคำร้องตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
๓) ศึกษาและสนับสนุนให้มีการศึกษาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
๔) ประสานงานกับหน่วยราชการองค์การเอกชนหรือองค์การอื่นในด้านสิทธิมนุษยชนในการดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
๕) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
ในระยะแรกของการก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
นายพินิต อารยะศิริ เลขาธิการวุฒิสภาได้มอบหมายรองเลขาธิการวุฒิสภาเป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่รองรับภารกิจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ดำเนินการประสานงานและจัดการเพื่อการสรรหาตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติไว้ โดยได้ดำเนินการเตรียมการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตามกฎหมาย ทั้งการจัดทำโครงสร้างการบริหารงานและอัตรากำลัง การจัดทำคำของบประมาณและการบริหารงบประมาณในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๓ - ๒๕๔๕ การประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งการจัดหาพัสดุเครื่องมือ เครื่องใช้ที่จำเป็น จัดเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานเพื่อปฏิบัติงานด้านธุรการ และจัดหาสถานที่ทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
สถานที่ตั้งแห่งแรกของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ใช้สถานที่ ชั้นที่ ๑ ชั้นที่ ๔ และชั้นที่ ๕ ของอาคารสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เลขที่ ๔๒๒ ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เป็นที่ทำงาน ได้ทำการปรับปรุงพื้นที่ จนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ๙ คน ที่ได้รับเลือกจากวุฒิสภาแต่ยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สามารถเริ่มเข้าเตรียมการทำงานบางส่วนได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๓ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ๙ ท่านได้ประชุมหารือการเตรียมการล่วงหน้าสัปดาห์ละ ๒ - ๓ ครั้ง โดยยังไม่ได้รับค่าตอบแทน จนได้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดแรก เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้สนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาด้วยความเรียบร้อย จนกระทั่งมีการสรรหาและแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๔ รวมทั้งได้มีการรับโอนข้าราชการจากส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งชุดแรกโอนมาเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๔ และได้รับโอนงานจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๕
ในช่วงแรกสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มีการแบ่งส่วนราชการภายในและกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๔ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๔ แบ่งออกเป็น ๔ สำนัก คือ ๑) สำนักบริหารกลาง ๒) สำนักส่งเสริมและประสานงานเครือข่าย ๓) สำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๔) สำนักวิจัยและนิติธรรม
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ย้ายที่ทำการจากอาคารสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาที่ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น ๖ และชั้น ๗ และเปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑เป็นต้นไป
ต่อมา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้กำหนดให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีสถานะเป็นองค์กรอิสระ มีหน้าที่และอำนาจตามมาตรา ๒๔๗ และได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๑๒๓ ก ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยให้ยกเลิกพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และในหมวด ๓ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาตรา ๔๗ กำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นส่วนราชการและมีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้
(๑) รับผิดชอบงานธุรการและดำเนินการเพื่อให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติบรรลุภารกิจและหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น
(๒) อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุน การปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(๓) ศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และสนับสนุนให้มีการวิจัยเกี่ยวกับงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือองค์กรอื่นใดในด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนภารกิจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
(๔) ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่มีกฎหมายกำหนดหรือที่คณะกรรมการมอบหมาย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกำหนด ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้มีประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๑๐๐ ก ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ หน้า ๑๑ - ๓๗ ดังนี้
ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๑. ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายใน และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการในสังกัดสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ ลงวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖
ข้อ ๔ ให้แบ่งส่วนราชการภายในสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ โดยให้ขึ้นตรงต่อเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ตามประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๔ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม 2544 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘ ตอนที่ ๖๕ ก ณ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๔ หน้า ๒๔ - ๓๓) ได้แบ่งส่วนราชการภายในของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็น ๔ สำนัก ดังนี้
๑.๑ สำนักบริหารกลาง แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ
๑.๑.๑ ส่วนบริหารงานทั่วไปและอำนวยการประชุม
๑.๑.๒ ส่วนการคลัง
๑.๑.๓ ส่วนนโยบายและแผน
๑.๑.๔ ส่วนวิเทศสัมพันธ์
๑.๒ สำนักส่งเสริมและประสานงานเครือข่าย แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ
๑.๒.๑ ส่วนส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
๑.๒.๒ ส่วนประสานงานเครือข่าย
๑.๒.๓ ส่วนประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่
๑.๓ สำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ
๑.๓.๑ ส่วนคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๑
๑.๓.๒ ส่วนคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๒
๑.๓.๓ ส่วนคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๓
๑.๓.๔ ส่วนติดตามผลการแก้ไข
๑.๔ สำนักวิจัยและนิติธรรม แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ
๑.๔.๑ ส่วนวิจัยสิทธิมนุษยชน
๑.๔.๒ ส่วนนิติธรรม
๑.๔.๓ ส่วนประเมินและรายงาน
๑.๔.๔ ส่วนข้อมูลสารสนเทศ
หมายเหตุ
ในการประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ในฐานะ องค์กรกลางการบริหารงานบุคคล (ก.ส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๗ ได้เห็นชอบให้มีการเรียกชื่อผู้อำนวยการส่วนเป็น ผู้อำนวยการกลุ่มงาน นอกนั้นให้เป็นไปตามโครงสร้างเดิม
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
๒. ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติโดยกำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพื้นที่ภาคใต้ขึ้นตรงต่อเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๔”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๑) ของข้อ ๔ ของประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑
“(๑๑) สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพื้นที่ภาคใต้”
ข้อ ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๒๓/๑ และข้อ ๒๓/๒ ของประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2561
“ข้อ ๒๓/๑ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพื้นที่ภาคใต้ รับผิดชอบพื้นที่ในเขตจังหวัดภาคใต้ จานวน 14 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดพังงา จังหวัดพัทลุง จังหวัดภูเก็ต จังหวัดยะลา จังหวัดระนอง จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ตามประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๘ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒ ตอนพิเศษ ๔๐ ง ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ หน้า ๓๖ - ๔๘) ได้แบ่งส่วนราชการภายในของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็น ๔ สำนัก และ ๒ กลุ่มงาน ดังนี้
๒.๑ สำนักบริหารกลาง แบ่งออกเป็น ๔ กลุ่มงาน คือ
๒.๑.๑ กลุ่มงานบริหารทั่วไป
๒.๑.๒ กลุ่มงานคลังและพัสดุ
๒.๑.๓ กลุ่มงานนโยบายและแผน
๒.๑.๔ กลุ่มงานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
๒.๒ สำนักส่งเสริมและประสานงานเครือข่าย แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มงาน คือ
๒.๒.๑ กลุ่มงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
๒.๒.๒ กลุ่มงานประสานงานเครือข่าย
๒.๒.๓ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่
๒.๓ สำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แบ่งออกเป็น ๕ กลุ่มงาน คือ
๒.๓.๑ กลุ่มงานตรวจสอบเรื่องร้องเรียน ๑
๒.๓.๒ กลุ่มงานตรวจสอบเรื่องร้องเรียน ๒
๒.๓.๓ กลุ่มงานตรวจสอบเรื่องร้องเรียน ๓
๒.๓.๔ กลุ่มงานตรวจสอบเรื่องร้องเรียน ๔
๒.๓.๕ กลุ่มงานประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
๒.๔ สำนักวิจัยและนิติธรรม แบ่งออกเป็น ๔ กลุ่มงาน คือ
๒.๔.๑ กลุ่มงานวิจัยสิทธิมนุษยชน
๒.๔.๒ กลุ่มงานนิติธรรม
๒.๔.๓ กลุ่มงานประเมินและรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชน
๒.๔.๔ กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศ
๒.๕ กลุ่มงานตรวจสอบภายใน
๒.๖ กลุ่มงานช่วยอำนวยการ
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
๓. ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอานาจของส่วนราชการในสังกัดสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหน้าที่และอานาจของส่วนราชการในสังกัดสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๔”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๙ (๔) และ (๕) ของประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(๔) ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทาร่างรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และแจ้งผลการตรวจสอบพร้อมด้วยรายงานผลการตรวจสอบไปยังผู้เกี่ยวข้อง
(๕) พิจารณาเสนอความเห็นในกรณีที่มีการโต้แย้งรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ โดยได้กำหนดให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีสถานะเป็นองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญและมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในส่วนที่เกี่ยวกับสถานะและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๕๖ วรรคหก และมาตรา ๒๕๗ บัญญัติให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่เพิ่มขึ้นจากเดิมในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหายดังนั้น
ดังนั้น จึงได้มีประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗ ตอนพิเศษ ๔๓ ก ลงวันที่ ๙กรกฎาคม ๒๕๕๓ หน้า ๓๒ – ๕๗) แบ่งส่วนราชการภายในของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็น ๖ สำนัก และ ๒ กลุ่มงาน ดังนี้
๓.๑ สำนักบริหารกลาง แบ่งเป็น ๕ กลุ่มงาน คือ
๓.๑.๑ กลุ่มงานบริหารทั่วไป
๓.๑.๒ กลุ่มงานบริหารงานทรัพยากรบุคคล
๓.๑.๓ กลุ่มงานคลังและพัสดุ
๓.๑.๔ กลุ่มงานนโยบายและยุทธศาสตร์
๓.๑.๕ กลุ่มงานนิติการ
๓.๒ สำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แบ่งเป็น ๑ ฝ่าย ๕ กลุ่มงาน คือ
๓.๒.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๓.๒.๒ กลุ่มงานประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
๓.๒.๓ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๑
๓.๒.๔ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๒
๓.๒.๕ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน 3
๓.๒.๖ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๔
๓.๓ สำนักวินิจฉัยและคดี แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๔ กลุ่มงาน คือ
๓.๓.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๓.๓.๒ กลุ่มงานคดีรัฐธรรมนูญ
๓.๓.๓ กลุ่มงานคดีปกครอง
๓.๓.๔ กลุ่มงานคดียุติธรรม
๓.๓.๕ กลุ่มงานประสานบังคับคดีและพัฒนางานคดี
๓.๔ สำนักวิจัยและวิชาการ แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๓.๔.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๓.๔.๒ กลุ่มงานวิจัยสิทธิมนุษยชน
๓.๔.๓ กลุ่มงานพัฒนานโยบายและมาตรการ
๓.๔.๔ กลุ่มงานข้อมูลและสารสนเทศ
๓.๕ สำนักส่งเสริมและประสานงานเครือข่าย แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๓.๕.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๓.๕.๒ กลุ่มงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
๓.๕.๓ กลุ่มงานประสานงานเครือข่าย
๓.๕.๔ กลุ่มงานสารนิเทศ
๓.๖ สำนักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๓.๖.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๓.๖.๒ กลุ่มงานสนับสนุนกิจการต่างประเทศ
๓.๖.๓ กลุ่มงานความร่วมมือระหว่างประเทศ
๓.๖.๔ กลุ่มงานพันธกรณีและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
๓.๗ กลุ่มงานอำนวยการกิจการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๓.๘ กลุ่มงานตรวจสอบภายใน
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
๔. ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยกำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นตรงต่อเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
อาศัยอานาจตามความในมาตรา๔๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๕”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๒) ของข้อ ๔ ของประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑
“(๑๒) สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
ตามประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ ลงวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๐ ตอนที่ ๑๐๘ ก ลงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ หน้า ๔ - ๒๗) โดยแบ่งส่วนราชการภายในของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็น ๖ สำนัก ๒ กลุ่มงาน และ ๑ หน่วย ดังนี้
๔.๑ สำนักบริหารกลาง แบ่งออกเป็น ๖ กลุ่มงาน คือ
๔.๑.๑ กลุ่มงานบริหารทั่วไป
๔.๑.๒ กลุ่มงานบริหารงานทรัพยากรบุคคล
๔.๑.๔ กลุ่มงานคลัง
๔.๑.๕ กลุ่มงานพัสดุ
๔.๑.๖ กลุ่มงานนโยบายและยุทธศาสตร์
๔.๒ สำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๘ กลุ่มงาน คือ
๔.๒.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๔.๒.๒ กลุ่มงานประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
๔.๒.๓ กลุ่มงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๑
๔.๒.๔ กลุ่มงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๒
๔.๒.๕ กลุ่มงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๓
๔.๒.๖ กลุ่มงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๔
๔.๒.๗ กลุ่มงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๕
๔.๒.๘ กลุ่มงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๖
๔.๒.๙ กลุ่มงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๗
๔.๓ สำนักกฎหมายและคดี แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๔ กลุ่มงาน คือ
๔.๓.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๔.๓.๒ กลุ่มงานเสนอเรื่องและฟ้องคดีต่อศาล ๑
๔.๓.๓ กลุ่มงานเสนอเรื่องและฟ้องคดีต่อศาล ๒
๔.๓.๔ กลุ่มงานเสนอเรื่องและฟ้องคดีต่อศาล ๓
๔.๓.๕ กลุ่มงานนิติการ
๔.๔ สำนักวิจัยและวิชาการ แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน ๑ ศูนย์ คือ
๔.๔.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๔.๔.๒ กลุ่มงานวิจัยสิทธิมนุษยชน
๔.๔๓ กลุ่มงานประเมินและรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชน
๔.๔.๔ กลุ่มงานพัฒนากฎหมายและนโยบาย
๔.๔.๕ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
๔.๕ สำนักส่งเสริมและประสานงานเครือข่าย แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๔.๕.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๔.๕.๒ กลุ่มงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
๔.๕.๓ กลุ่มงานประสานงานเครือข่าย
๔.๕.๔ กลุ่มงานสารนิเทศ
๔.๖ สำนักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๔.๖.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๔.๖.๒ กลุ่มงานความร่วมมือสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ๑
๔.๖.๓ กลุ่มงานความร่วมมือสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ๒
๔.๖.๔ กลุ่มงานพันธกรณีและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
๔.๗ กลุ่มงานอำนวยการกิจการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๔.๘ กลุ่มงานติดตามและสารบบสำนวน
๔.๙ หน่วยตรวจสอบภายใน
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
๕. ประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในและขอบเขตหน้าที่และอานาจของส่วนราชการในสังกัดสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๕)
ตามประกาศคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วยราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๑๑๐ ก ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ หน้า ๑๑ – ๓๗) โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ แบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็น ๙ สำนัก และ ๑ หน่วย โดยให้ขึ้นตรงต่อเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
๕.๑ สำนักบริหารกลาง แบ่งออกเป็น ๕ กลุ่มงาน คือ
๕.๑.๑ กลุ่มงานบริหารทั่วไป
๕.๑.๒ กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล
๕.๑.๓ กลุ่มงานพัฒนาระบบงานและพัฒนาบุคลากร
๕.๑.๔ กลุ่มงานคลัง
๕.๑.๕ กลุ่มงานพัสดุ
๕.๒ สำนักกิจการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๕.๒.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๕.๒.๒ กลุ่มงานอำนวยการกิจการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๕.๒.๓ กลุ่มงานนโยบายและยุทธศาสตร์
๕.๒.๔ กลุ่มงานวิจัยสิทธิมนุษยชน
๕.๓ สำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๗ กลุ่มงาน คือ
๕.๓.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๕.๓.๒ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๑
๕.๓.๓ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๒
๕.๓.๔ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๓
๕.๓.๕ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๔
๕.๓.๖ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๕
๕.๓.๗ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๖
๕.๓.๘ กลุ่มงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๗
๕.๔ สำนักส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๔ กลุ่มงาน คือ
๕.๔.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๕.๔.๒ กลุ่มงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
๕.๔.๓ กลุ่มงานพัฒนาความร่วมมือเครือข่าย
๕.๔.๔ กลุ่มงานสื่อสารองค์กร
๕.๔.๕ กลุ่มงานศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค
๕.๕ สำนักเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชน แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๕.๕.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๕.๕.๒ กลุ่มงานเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ๑
๕.๕.๓ กลุ่มงานเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ๒
๕.๕.๔ กลุ่มงานเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ๓
๕.๖ สำนักมาตรฐานและติดตามการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๕.๖.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๕.๖.๒ กลุ่มงานกลั่นกรองรับเรื่องร้องเรียนและประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
๕.๖.๓ กลุ่มงานมาตรฐานรายงานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
๕.๖.๔ กลุ่มงานติดตามและสารบบสำนวน
๕.๗ สำนักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๕.๗.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๕.๗.๒ กลุ่มงานความร่วมมือสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ๑
๕.๗.๓ กลุ่มงานความร่วมมือสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ๒
๕.๗.๔ กลุ่มงานพันธกรณีและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
๕.๘ สำนักกฎหมาย แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๕.๘.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๕.๘.๒ กลุ่มงานเสนอแนะการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ๑
๕.๘.๓ กลุ่มงานเสนอแนะการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ๒
๕.๘.๔ กลุ่มงานนิติกร
๕.๙ สำนักดิจิทัลสิทธิมนุษยชน แบ่งออกเป็น ๑ ฝ่าย ๓ กลุ่มงาน คือ
๕.๙.๑ ฝ่ายช่วยอำนวยการ
๕.๙.๒ กลุ่มงานพัฒนาระบบสารสนเทศและฐานข้อมูล
๕.๙.๓ กลุ่มงานคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย
๕.๙.๔ กลุ่มงานสารสนเทศ
๕.๑๐ หน่วยตรวจสอบภายใน