Human Rights Dictionary : ศัพท์สิทธิมนุษยชน

 

 

A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z ALL

TECHNOLOGY INTENSIVE INDUSTRY

คำแปล : อุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยี

ความหมาย :

อุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก เป็นภาคอุตสาหกรรมการผลิต หรือภาคบริการที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก อุตสาหกรรมชนิดนี้จะมีการใช้ความรู้ วิทยาการ เทคโนโลยี ความชำนาญการในระดับสูงในการผลิตหรือการให้บริการ วิธีในการวัดระดับของการเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยี คือ การวัดสัดส่วนของการลงทุนในการใช้เทคโนโลยี เพื่อการผลิตและการให้บริการ จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีจะเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เงินทุนเป็นหลักด้วย เช่น อุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ อุตสาหกรรมการส่งดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์ การถ่ายทอดรายการผ่านดาวเทียม เป็นต้น อุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีเป็นหลักอาจมีประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนา โดยการถ่ายโอนเทคโนโลยีหากได้เข้าไปตั้งอุตสาหกรรมการลงทุนในประเทศเหล่านี้ ในขณะเดียวกันต้องพิจารณาประกอบกับความเสี่ยงภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย เช่น การรั่วไหลของสารเคมี หรือกัมมันตภาพรังสี ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อม และสุขภาวะในชุมชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนด้านการมีสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีสุขภาวะ และการอนุรักษ์ธรรมชาติ และปัญหาอีกด้านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชุมชน คือปัญหาการว่างงานหากมีอุตสาหกรรมประเภทนี้เข้าไปลงทุนในประเทศใด เนื่องจากความจำเป็นในการใช้แรงงานไร้ฝีมือมีน้อยมากนอกจากว่าจะมีการพัฒนาศักยภาพของประชาชนให้เป็นผู้มีความชำนาญการในระดับสูง


TERMINATIONOF TREATY

คำแปล : การยกเลิกสนธิสัญญา

ความหมาย :

อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ข้อ54ได้บัญญัติไว้ว่า “การยกเลิกสนธิสัญญาหรือการถอนตัวออกจากสนธิสัญญานั้นอาจจะกระทำได้โดย (ก) เป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้ในสนธิสัญญา หรือ (ข) กระทำได้ในเวลาใดเวลาหนึ่งโดยการแสดงเจตนายินยอมของรัฐภาคีทั้งปวง หลังจากได้ปรึกษาหารือกับรัฐภาคีอื่นๆแล้ว” แต่ในกรณีที่สนธิสัญญาที่ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการยกเลิกสนธิสัญญา หรือไม่มีข้อบทว่าด้วยการถอนตัวจากสนธิสัญญาหรือเหตุแห่งการไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา รัฐภาคีไม่สามารถยกเลิกสนธิสัญญา หรือถอนตัวจากสนธิสัญญาได้ เว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้ (ก) หากปรากฏจากสนธิสัญญาเป็นที่ยุติว่า รัฐภาคีนั้นตั้งใจที่จะเปิดโอกาสให้มีการยกเลิก เพิกถอนสนธิสัญญาได้ หรือให้ถอนตัวจากสนธิสัญญาได้ หรือ (ข)โดยลักษณะของสนธิสัญญานั้น อนุมานได้ว่ารัฐภาคีสามารถยกเลิกสนธิสัญญา หรือถอนตัวจากสนธิสัญญาได้ ในกรณีเช่นว่านั้นรัฐภาคีฝ่ายที่จะขอยกเลิก เพิกถอนสนธิสัญญาหรือขอถอนตัวจากสนธิสัญญาจะต้องมีหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสองเดือนเพื่อแจ้งรัฐภาคีอื่นๆ ให้ทราบเจตนารมณ์ในการยกเลิก หรือถอนตัวจากสนธิสัญญาตามที่กำหนดไว้ข้างต้นนี้


TERRORISM

คำแปล : การก่อการร้าย / ลัทธิก่อการร้าย

ความหมาย :

การก่อการร้าย หรือลัทธิก่อการร้าย หมายถึงการใช้กำลังก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อทรัพย์สิน หรือระบบบริการสาธารณะ โดยใช้วิธีการรุนแรงเพื่อสร้างความปั่นป่วน หรือความหวาดกลัวให้แก่สังคม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบีบบังคับ ขู่เข็ญรัฐบาล หรือองค์การระหว่างประเทศให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง การกระทำที่เป็นการก่อการร้ายแม้ว่าจะมีเป้าหมายทางการเมืองแต่กฎหมายไม่ถือว่าเป็น “ความผิดทางการเมือง (Political Offence)”และรัฐที่มีบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการก่อการร้ายสามารถส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้


THE 1235 PROCEDURE

คำแปล : กระบวนการตามข้อมติที่ 1235 (หรือ กระบวนการ 1235)

ความหมาย :

กระบวนการตามข้อมติที่ 1235 เป็นกระบวนการรับเรื่องร้องเรียน (Communication หรือ Complaint) ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ ตามข้อมติที่ 1235 ของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (ECOSOC) เพื่อให้คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน (Commission on Human Rights) หรือปัจจุบันคือคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน (Human Rights Council) มีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนจากบุคคลว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและ เป็นระบบ (Systematic, Gross Violation of Human Rights) กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ “เปิดเผยต่อสาธารณะ” ในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยอาจมีการอภิปรายประจำปีที่มีรัฐบาลและองค์กรเอกชนเข้าร่วมการพิจารณาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ หรือรายงานการศึกษา การตรวจสอบ การไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน แม้ว่ากระบวนการ 1235 จะไม่มีผลบังคับใดๆ ต่อประเทศที่ถูกร้องเรียน แต่ถือว่าเป็นการสร้างแรงกดดันทางการเมืองต่อรัฐบาลที่ถูกร้องเรียน องค์กรเอกชนและภาคประชาชนอาจถือโอกาสหยิบยกปัญหาขึ้นกดดันรัฐบาลเพื่อให้แก้ไขสถานการณ์ และหากการละเมิดสิทธิมนุษยชนมีความรุนแรงมากอาจนำไปสู่การรับรองข้อมติเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น


THE 1503 PROCEDURE

คำแปล : กระบวนการตามข้อมติ 1503 หรือกระบวนการ 1503

ความหมาย :

กระบวนการตามข้อมติ 1503 เป็นกระบวนการรับเรื่องร้องเรียน (Communication หรือ Complaint) ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ ตามข้อมติที่ 1503ของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (ECOSOC) เพื่อให้อำนาจคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน (Commission on Human Rights) หรือปัจจุบันคือคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน (Human Rights Council) มีอำนาจรับข้อร้องเรียนจากบุคคลว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและเป็นระบบ (Systematic, Gross Violation of Human Rights) ซึ่งเป็นกระบวนการ “พิจารณาลับ” ข้อมติที่ 1503 ได้จัดตั้งคณะทำงานว่าด้วยข้อร้องเรียน (Working Group on Communications) ขึ้นเพื่อพิจารณารับข้อร้องเรียนของบุคคลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อคณะทำงานฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ามีหลักฐานน่าเชื่อถือว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและเป็นระบบก็จะมีมติ (Resolution)เพื่อส่งเรื่องให้คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนพิจารณา ในการพิจารณาคณะกรรมาธิการฯ จะแต่งตั้งให้คณะทำงานพิจารณาสถานการณ์ (Working Group on Situations) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกของกรรมาธิการฯ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมาธิการฯ เอง หลังจากนั้นคณะกรรมาธิการฯ จะตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร เช่นตั้งคณะทำงานขึ้นศึกษาเป็นกรณีนั้นฯ ให้มีการไต่สวนสถานการณ์ หรือยุติการพิจารณา กระบวนการตามข้อมติ 1503 จะดำเนินเป็นความลับตลอดกระบวนการนับตั้งแต่ขั้นรับเรื่องร้องเรียนจนกระทั่งคณะกรรมาธิการฯ มีมติให้แจ้งให้คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (ECOSOC) ทราบผลของการพิจารณา หลังจากนั้นอาจมีการดำเนินการตามกระบวนการที่ 1235 (The 1235 Procedure) ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณาโดยเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อให้ดำเนินการใดๆ ต่อไปเช่น การตั้งกลไกพิเศษในรูปของคณะกรรมการ ผู้แทนพิเศษ(Special Representative) หรือผู้จัดทำรายงานพิเศษ (Special Rapporteur) เพื่อศึกษาสนานการณ์ สิทธิมนุษยชนขึ้นเฉพาะ


THE BEST INTERESTS OF THE CHILD

คำแปล : ประโยชน์สูงสุดของเด็ก

ความหมาย :

หลักการทางกฎหมายและหลักปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิเด็ก ทั้งนี้เนื่องจากหลักการในการดำเนินการเพื่อคุ้มครอง ปกป้อง และทำให้สิทธิเด็กเกิดขึ้นจริงมีหลายด้านในบางครั้งหลักการดังกล่าวอาจคลุมเครือ ไม่ชัดเจน หรืออาจแย้งกันเอง นอกจากนั้นสิทธิเด็กอาจขัด หรือแย้งกับสิทธิของบุคคลอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิของเด็ก หรือหน้าที่ของเด็ก เช่น สิทธิของบิดามารดา หรือหน้าที่ความรับผิดชอบของเด็ก ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ จึงต้องคำนึงว่า สิ่งใดคือผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ได้กำหนดหลักการเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กที่สำคัญไว้สี่ประการ ได้แก่ • สิทธิที่จะได้ผลประโยชน์สูงสุดในการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก • สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม • สิทธิที่จะมีชีวิตรอด • สิทธิในการพัฒนา อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กมิได้ให้คำนิยามของคำว่าผลประโยชน์สูงสุดของเด็กไว้ชัดเจน ดังนั้น ใน ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติจึงได้จัดทำแนวทางที่เป็นทางการในการกำหนดประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็ก (Guidelines on Formal Determination of the Best Interests of the Child) ขึ้นเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของ “เป้าหมายแห่งสหัสวรรษ หรือ MDGs” โดยประโยชน์สูงสุดของเด็กต้องพิจารณาจากสองด้าน ได้แก่ หลักทั่วไปในการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กในความเสี่ยงใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อเด็กภายใต้สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งที่เฉพาะเจาะจง (Measures to Ensure due Attention to the Specific Situation and Risks of Children as a Permanent Consideration)และหลักการกำหนดประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นรายบุคคล (Measures to Identify the Best Interests of an Individual Child)


THE FIFTH AMENDMENT

คำแปล : บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทที่ห้า (รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา)

ความหมาย :

รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกาส่วนที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในบทที่ห้าซึ่งรับรองสิทธิที่เกี่ยวกับบุคคลในคดีอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น การฟ้องศาล การสอบสวน และการลงโทษเป็นต้น เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนฃ บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทที่ห้านี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิ (Bill of Rights) เนื่องจากเป็นการบัญญัติถึงสิทธิของผู้ต้องหาในกระบวนการพิจารณาคดีอาญา ประกอบไปด้วยสิทธิที่ผู้ต้องหาจะไม่ถูกบังคับให้ต้องให้การอันเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองในคดีอาญาหรือปรักปรำตนเอง (The Privilege against Self-incrimination) สิทธิที่จะไม่ถูกลงโทษซ้ำในความผิดเดียวกัน (Double Jeopardy) สิทธิที่จะไม่ถูกกระทำการใด ๆ อันเป็นการจำกัดสิทธิในชีวิต เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของบุคคล โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมแห่งกฎหมาย (Due Process) รวมถึงสิทธิที่จำเลยจะได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้มีการพิจารณาคดีจากคณะลูกขุนใหญ่(Grand Jury) ในคดีอาญาที่ระวางโทษประหารชีวิตหรือคดีอุกฉกรรจ์ ถ้อยคำในบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทที่ห้าได้บัญญัติว่า “บุคคลใดจะถูกพิจารณาในคดีที่มีโทษถึงประหารชีวิต หรือคดีอาญาอันไม่ปรารถนาอื่นใดไม่ได้ นอกจากคณะลูกขุนใหญ่จะได้แจ้งหรือชี้ขาดเป็นลายลักษณ์อักษรให้พิจารณาคดีนั้นแล้ว ทั้งนี้ เว้นแต่คดีที่เกิดขึ้นในกองทัพบก กองทัพเรือ หรือในกองกำลังพลอาสาสมัครที่เข้าประจำการยามสงคราม หรือมีความไม่สงบเกิดขึ้นและบุคคลใดจะถูกพิพากษาหรือลงโทษในความผิดอันเดียวกันซ้ำอีกไม่ได้ หรือจะถูกบังคับให้การเป็นปฏิปักษ์แก่ตนเองในคดีอาญาใด ๆ ไม่ได้ หรือจะถูกจำกัดสิทธิในชีวิตเสรีภาพและทรัพย์สินโดยไม่ต้องด้วยกระบวนความแห่งกฎหมายไม่ได้และทรัพย์สินของบุคคลใดจะนำไปใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์โดยไม่มีค่าตอบแทนอันชอบธรรมไม่ได้” อนึ่ง รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกามีสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นบทบัญญัติดั้งเดิมที่ได้รับรองโดยมลรัฐต่าง ๆ ใน ค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) และส่วนที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อมาอีกหลายครั้ง(ดู Amendments)


THE FIRST AMENDMENT

คำแปล : บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทที่หนึ่ง (รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา)

ความหมาย :

รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกาส่วนที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในบทที่หนึ่งซึ่งได้รับรองสิทธิเสรีภาพของบุคคลในด้านความเชื่อ การนับถือศาสนาการพูด การพิมพ์ การโฆษณา และการชุมนุมโดยสันติของประชาชน บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมครั้งแรก เป็นการบัญญัติกฎหมายครั้งสำคัญเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิ (Bill of Rights) ถือเป็นจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เนื่องจากเป็นการจำกัดการใช้อำนาจของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต่อประชาชน ถ้อยคำในบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทที่หนึ่ง บัญญัติว่า “รัฐสภาจะบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการสถาปนาศาสนา หรือห้ามการปฏิบัติตามพิธีกรรมทางศาสนาโดยเสรี หรือตัดทอนเสรีภาพในการพูด หรือการพิมพ์ โฆษณา หรือสิทธิของประชาชนที่จะร่วมชุมนุมกันโดยสงบ และยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อรัฐบาลไม่ได้” อนึ่ง รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกามีสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นบทบัญญัติดั้งเดิมที่ได้รับรองโดยมลรัฐต่าง ๆ ใน ค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) และส่วนที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อมาอีกหลายครั้ง (ดู Amendments)


THE RIGHT TO COUNSEL

คำแปล : สิทธิที่จะปรึกษาทนาย

ความหมาย :

สิทธิของผู้ต้องหาในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองโดยกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) ข้อ 13 สิทธินี้เกิดขึ้นจากปัญหาในทางปฏิบัติที่ว่าการสอบปากคำผู้ต้องหาผู้ต้องหาอาจอยู่ในสภาวะถูกกดดันจนอาจทำให้ผู้ต้องหาให้การโดยเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อนอันเป็นผลกระทบต่อผู้ต้องหาอย่างไม่เป็นธรรม บางกรณีผู้ต้องหา หรือจำเลยอาจไม่เข้าใจถ้อยคำทางกฎหมายหรือผลทางกฎหมายจึงอาจให้การที่เป็นผลร้ายกับตนเอง นอกจากนั้นความไม่เท่าเทียมกันระหว่างอำนาจของผู้ถูกสอบสวนกับพนักงานสอบสวน อาจทำให้พนักงานสอบสวนใช้อำนาจโดยมิชอบได้ การได้ปรึกษาทนาย หรือมีทนายเข้าร่วมในการดำเนินคดีจึงทำให้การดำเนินคดีมีความเป็นธรรมมากขึ้น บางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ได้กำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต้องจัดหาทนายให้กับผู้ต้องหากรณีที่ผู้ต้องหาไม่สามารถหาทนายได้หรือถ้าเจ้าพนักงานไม่อนุญาตให้ทนายเข้าฟังการสอบสวนถือว่าเป็นกระบวนการที่ขาดความชอบธรรมทางกฎหมาย สิทธิในการมีทนายสามารถแบ่งได้เป็นสองขั้นตอน คือ 1. ทนายในชั้นก่อนฟ้องคดี ผู้ต้องหามีสิทธิในการให้ทนายเข้ามารับฟังข้อกล่าวหา 2. ทนายในชั้นศาลซึ่งจำเลยมีสิทธิในการแต่งตั้งทนายเข้ามาเพื่อดำเนินการในการต่อสู้คดี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ค.ศ. 2007)ได้รับรองสิทธิในการมีทนายไว้ใน มาตรา 242 ดังนี้ “ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญามีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากรัฐด้วยการจัดหาทนายความให้ตามที่กฎหมายบัญญัติในกรณีที่ผู้ถูกควบคุมตัวไม่อาจหาทนายความได้ รัฐต้องตั้งทนายความให้ผู้ถูกควบคุมตัวโดยเร็ว” และกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7 ทวิ (1) บัญญัติว่า “ผู้ต้องหามีสิทธิพบและปรึกษาทนายความสองต่อสอง”


TO BE TRIED WITHOUT UNDUE DELAY, THE RIGHT

คำแปล : สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยไม่ชักช้าเกินความจำเป็น

ความหมาย :

สิทธิขั้นพื้นฐานของจำเลยในคดีอาญาที่จะได้รับการพิจารณาไต่สวนความผิดในระยะเวลาโดยเร็ว ไม่เนิ่นช้าโดยไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอ้างได้ ในคดีอาญาแม้ว่าบุคคลที่ศาลยังไม่พิพากษาว่าผิดจะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่บุคคลที่เป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกลิดรอนสิทธิหลายประการ เช่น อาจถูกคุมขัง ทำให้สูญเสียอิสรภาพ ถูกจำกัดสิทธิในการเดินทาง นอกจากนั้นอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้ในระหว่างการดำเนินคดี การพิจารณาคดีที่รวดเร็วจึงทำให้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลดังกล่าวได้รับผลกระทบน้อยที่สุด รัฐจะต้องมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้คดีอาญาดำเนินไปอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ทั้งในขั้นตอนก่อนฟ้องและใขั้นดำเนินคดีในศาล เช่น การมีพนักงานสอบสวนที่มีความรู้ความสามารถที่พอเพียง มีกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับการเลื่อนนัดการผัดฟ้องที่รัดกุม และมีจำนวนอัยการ และตุลาการที่พอเพียงกับปริมาณคดี คำว่าไม่ชักช้าเกินความจำเป็นนั้นจะต้องไม่ใช่ระยะเวลาที่สั้นเกินไปจนเป็นการรวบรัดจนจำเลยไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดต่อหาทนายความ เพื่อเป็นที่ปรึกษาคดี พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยไม่ชักช้าเกินความจำเป็นได้รับรองโดยกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14(3)ว่า “ในการพิจารณาคดีอาญา บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดย่อมมีสิทธิที่จะได้รับหลักประกันขั้นต่ำดังต่อไปนี้โดยเสมอภาค … (ค) สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยไม่ชักช้าเกินจำเป็น” (In the determination of any criminal charge against him, everyone shall be entitled to the following minimum guarantees, in full equality …(c) To be tried without undue delay)


TORTURE

คำแปล : การทรมาน

ความหมาย :

การทรมาน เป็นการลงโทษหรือการบังคับให้รับสารภาพโดยการทำให้เกิดความเจ็บปวดที่เป็นการสร้างความหวาดกลัวไม่ให้คนกระทำผิดพร้อมๆกับการสร้างความหวาดกลัวให้แก่สังคม การทรมานยังใช้เพื่อการพิสูจน์ความผิด หรือการไต่สวนความผิดอีกด้วย การทรมาน หรือทารุณกรรมนั้นมีได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทารุณกรรมและการลงโทษที่เป็นการลดคุณค่ามนุษย์ (CAT) ได้ให้คำจำกัดความไว้อย่างแคบ กล่าวคือ ผู้กระทำต้องเป็นพนักงานของรัฐหรือผู้ที่รัฐได้สนับสนุนรู้เห็นเป็นใจ และกระทำเพื่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อร่างกายหรือจิตใจโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ถูกกระทำยอมรับสารภาพ หรือ ให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเป็นการกระทำที่เป็นการลงโทษ แต่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองมีความหมายกว้างกว่า ไม่ว่าจะกระทำโดยใครแต่มีองค์ประกอบคือต้องจงใจ ทำให้เกิดความเจ็บปวดต่อร่างกายหรือจิตใจอย่างรุนแรงระดับหนึ่งโดยการปฏิบัติที่ไม่มีมนุษยธรรม การทรมาน มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่าการปฏิบัติที่เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีหรือไร้มนุษยธรรม (Degrading / Inhuman Treatment)ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปได้จำแนกข้อแตกต่างที่สำคัญของสองคำนี้ไว้ว่า การทรมานนั้นพิจารณาถึงระดับความเจ็บปวดความโหดร้ายของการกระทำ ในขณะที่การปฏิบัติที่เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรี หรือไร้มนุษยธรรม มุ่งที่วิธีการของการกระทำที่เป็นการทำลายคุณค่าหรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตามการลงโทษที่ทารุณนั้นถือว่าเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ในตัว


TOTALITARIANISM

คำแปล : ลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จ

ความหมาย :

รูปแบบของระบบการเมืองการปกครองที่ถืออำนาจรัฐเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารประเทศ ทำให้รัฐมีอำนาจเด็ดขาดในการจัด กำหนดกิจกรรมต่าง ๆในด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จมีความคล้ายคลึงกับลัทธิเผด็จการทหารแบบขวาจัด เช่น ลัทธิฟาสซิส (Fascism) และลัทธินาซี (Nazism) หรือเผด็จการคอมมิวนิสต์แบบซ้ายจัด เช่น คอมมิวนิสต์แบบสตาลิน(Stalinist Communism) ระบบการปกครองแบบนี้จะยึดถือความคิดว่า รัฐเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอำนาจของผู้บริหารจึงเป็นอำนาจที่ใช้จัดการทุกอย่างของรัฐ รัฐจึงมีอำนาจควบคุมทุกอย่าง เพื่อความเป็นเอกภาพของรัฐ โดยไม่ให้ความสำคัญกับปัจเจกชนดังนั้นนโยบายเกี่ยวกับการบริหาร คือ รัฐจะใช้วิธีการควบคุมกิจกรรมทุกอย่าง ทั้งกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คณะผู้บริหารส่วนกลางเป็นองค์กรที่ผูกขาดอำนาจการตัดสินใจกำหนดนโยบาย มีการควบคุมองค์กรรัฐในระดับย่อย ๆ ตามลำดับอย่างเคร่งครัด โดยกฎระเบียบ คำสั่ง และแนวปฎิบัติมีมาตรการบังคับให้ประชาชนเชื่อฟัง เคารพ และปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐอย่างเคร่งครัด เช่น การใช้วิธีการทางกฎหมายและการโฆษณาชวนเชื่อที่มักอ้างว่าเพื่อความมั่นคงของชาติ โดยไม่ให้ความสำคัญกับปัจเจกชนดังนั้นประชาชนจึงเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน


TRADE UNION

คำแปล : สหภาพแรงงาน

ความหมาย :

สหภาพแรงงาน เป็นสมาคมของลูกจ้าง จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการเจรจาต่อรองกับนายจ้างเช่นการเรียกร้องค่าแรง สภาพการจ้างงาน หรือสวัสดิการอื่น ตลอดจนเพื่อช่วยเหลือกันระหว่างลูกจ้างด้วยกันเองในด้านสวัสดิการ และการสมาคมของเหล่าลูกจ้าง สิทธิในการรวมกลุ่มสมาคม ( The Right to Association)เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รับรองสิทธิของผู้ใช้แรงงานในการจัดตั้งสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์ของสหภาพแรงงาน อนุสัญญาหลายฉบับขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organisation) จัดทำขึ้นเพื่อคุ้มครองสมาชิกของสหภาพแรงงาน เช่น สิทธิในการเจรจาต่อรองร่วม กฎหมายของรัฐที่ห้ามไม่ให้ลูกจ้างไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานเอกชนจัดตั้งสหภาพแรงงานจึงเป็นการขัดต่อสิทธิในการรวมกลุ่มและการจัดตั้งสหภาพแรงงาน ดังนั้นสิทธิของลูกจ้างในการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานจึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน บรรดากฎหมายหรือแนวปฏิบัติที่ห้ามหรือมีลักษณะเป็นโทษต่อลูกจ้างเพราะเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานนับว่าละเมิดต่อสิทธินี้เช่นกัน นอกจากนั้นรัฐต้องมีมาตรการห้ามนายจ้างกลั่นแกล้ง หรือลงโทษลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน


TRAFFICKING IN PERSONS

คำแปล : TRAFFICKING IN PERSONS

ความหมาย :

การค้ามนุษย์ เป็นการก่ออาชญากรรมโดยการถือเอามนุษย์เป็นสินค้าในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ของตนหรือองค์กรอาชญากรรม นับเป็นการค้าทาสรูปแบบใหม่ที่อาศัยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสถานการณ์ความไม่มั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของคนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ยากไร้ ชนกลุ่มน้อย ชนพื้นเมือง เด็ก และสตรี มาแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่นการบังคับให้ค้าประเวณี หรือบังคับแรงงาน กฎหมายสิทธิมนุษยชนถือว่าการค้ามนุษย์เป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดังนั้นจึงมีกรอบกฎหมายเพื่อให้รัฐร่วมมือกันป้องกัน


TRANSPARENCY

คำแปล : ความโปร่งใส

ความหมาย :

ความโปร่งใสนี้มีความหมายหลายมิติ ทั้งทางกายภาพ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เศรษฐกิจ การค้า การปกครอง และการเมือง ซึ่งมีลักษณะที่สามารถมองได้ ปรุโปร่ง ไม่มีสิ่งใดปกปิด ดังนั้นการกระทำสิ่งใด ไม่ว่าในสถานการณ์ใด หากมีความโปร่งใสย่อมสามารถเห็นได้โดยชัดเจนในทุกด้าน โดยปราศจากสิ่งปิดบังอำพราง เป็นลักษณะของการมีธรรมาภิบาล การเมือง การปกครอง การค้า การบริหาร จัดการอย่างมีความโปร่งใสจึงเป็นการดำเนินการที่มีความเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมตรวจสอบได้ จึงนำมาซึ่งความยุติธรรมต่อสมาชิกของสังคมนั้นๆ


TRAVAUX PREPARATOIRES (French)

คำแปล : บันทึกร่างสนธิสัญญา / บันทึกร่างกฎหมาย

ความหมาย :

Travaux Preparatoires เป็นคำภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “งานเตรียมการ (Preparatory Work)” บันทึกร่างสนธิสัญญา / บันทึกร่างกฎหมาย เป็นเอกสารที่รวบรวมบันทึกการจัดทำสนธิสัญญานับตั้งแต่เริ่มต้นการเจรจาจนถึงการยอมรับสนธิสัญญา บันทึกร่างสนธิสัญญามีประโยชน์ในการใช้เป็นเอกสารอ้างอิงการตีความข้อบทสนธิสัญญาโดยทำให้เข้าใจเจตนาของผู้ร่างและประเด็นที่มีการอภิปรายกันในระหว่างการจัดทำร่างถ้อยคำในข้อบทนั้นว่าต้องการให้มีความหมายเช่นใด


TREATY

คำแปล : สนธิสัญญา

ความหมาย :

สนธิสัญญามีความหมายอย่างแคบ หมายถึงความตกลงระหว่างประเทศ กับความหมายอย่างกว้างหมายถึง ความตกลงระหว่างประเทศในลักษณะต่างๆ และมีชื่อที่เรียกต่างๆกัน เช่น อนุสัญญา (Convention) กติกา (Covenant) ความตกลง (Agreement) อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ได้ให้คำนิยามของสนธิสัญญาว่าหมายถึงความตกลงระหว่างประเทศที่กระทำขึ้นระหว่างรัฐตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปเป็นลายลักษณ์อักษร และอยู่ภายใต้บังคับตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะกระทำขึ้นเป็นตราสารฉบับเดียวหรือหลายฉบับที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน และไม่ว่าจะมีชื่อเฉพาะเรียกว่าอย่างไรก็ตามตราสารระหว่างประเทศเป็นสนธิสัญญามีลักษณะดังนี้ 1. เป็นเอกสารลายลักษณ์อักษรที่กระทำระหว่างคู่ภาคี สองฝ่าย หรือมากกว่าสองฝ่าย 2. สนธิสัญญาต้องกระทำโดยคู่ภาคีที่เป็นรัฐหรือองค์การระหว่างประเทศ 3. เป็นตราสารที่ก่อพันธะทางกฎหมาย 4. ตราสารนั้นอาจเป็นตราสารฉบับเดียว สองหรือหลายฉบับเกี่ยวเนื่องกัน ตราสารใดจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นสนธิสัญญาหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ชื่อของตราสารนั้นๆแต่อยู่ที่เจตนาของคู่ภาคีของตราสารนั้น อนุสัญญากรุงเวียนนามีข้อบทกล่าวถึงสนธิสัญญาปากเปล่าว่ามีได้แต่อนุสัญญาไม่ส่งเสริมให้ทำ


TRIAL IN CAMERA

คำแปล : การพิจารณาเป็นการลับ

ความหมาย :

คำว่า in camera เป็นภาษาละติน แปลว่า ในห้อง (In a Chamber) รูปแบบ หรือวิธีการพิจารณาคดีในศาลที่ไม่ให้บุคคลทั่วไปและสื่อมวลชนเข้าร่วมฟังการไต่สวนสืบพยานในศาลเว้นแต่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีนั้นซึ่งเป็นการยกเว้นหลักทั่วไปของการไต่สวนพิจารณาคดีอาญาที่มีหลักว่าจะต้องกระทำต่อหน้าจำเลยและต้องเป็นการพิจารณาโดยเปิดเผย (ดู OPEN TRIAL / PUBLIC TRIAL) เพื่อไม่ให้รัฐใช้กระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งจำเลย และเป็นการเปิดโอกาสให้สาธารณชนตรวจสอบความชอบธรรมและความถูกต้องของกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากบางกรณีการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยอาจจะกระทบต่อศีลธรรมอันดีของสังคม ความมั่นคงของชาติ เช่น คดีความผิดต่อความมั่นคง หรือต้องการคุ้มครองความปลอดภัยของพยาน เช่น ในคดีก่อการร้าย คดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล หรือต้องการคุ้มครองชื่อเสียงเกียรติยศของผู้เสียหาย เช่นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็ก เป็นต้น ดังนั้นจึงยอมให้พิจารณาคดีโดยไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาไต่สวนคดีเข้าร่วมฟังการพิจารณาได้หลักการนี้เป็นข้อยกเว้นสิทธิของจำเลยที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยจึงต้องเป็นกรณีที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้นโดยแท้จริงหลายประเทศได้วางหลักเกณฑ์ระเบียบที่เคร่งครัดเกี่ยวกับการพิจารณาเป็นการลับไว้ ในการพิจารณาในศาลเยาวชนมักจะใช้การพิจารณาเป็นการลับเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดความรู้สึกเกิดตราบาปติดตัว ในประเทศไทย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 กำหนดให้ศาลมีอำนาจสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ เมื่อศาลเห็นสมควร หรือโดยคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใดแต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศ เพื่อไม่ให้ประชาชนทั่วไปล่วงรู้ เมื่อมีการพิจารณาเป็นการลับ บุคคลเหล่านี้เท่านั้นมีสิทธิอยู่ในห้องพิจารณาได้ คือ • โจทก์และทนาย • จำเลยและทนาย • ผู้ควบคุมตัวจำเลย • พยานและผู้ชำนาญการพิเศษ • ล่าม • บุคคลผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องและได้รับอนุญาตจากศาล • พนักงานศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับศาล แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร


TYRANNY OF THE MAJORITY

คำแปล : เผด็จการโดยเสียงข้างมาก

ความหมาย :

สภาพการณ์ที่รัฐบาลหรือองค์กรที่ใช้อำนาจปกครองที่ได้อำนาจมาตามวิถีทางประชาธิปไตยได้ตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย หรือดำเนินการใด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ที่สนับสนุน โดยไม่คำนึงถึงสิทธิ สวัสดิการ หรือประโยชน์อันชอบธรรมของประชาชนที่เป็นเสียงส่วนน้อย บางทีก็เรียกสภาพการณ์เช่นนี้ว่า Dictatorship of the Majorityในสำนวนไทยมีคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันคือ “พวกมากลากไป” แม้ว่าหลักการของประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ แต่ในสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง สิทธิที่เป็นเสียงส่วนน้อยจักต้องได้รับการคุ้มครอง ในการกำหนดนโยบายรัฐจักต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิตามรัฐธรรมนูญของบุคคลที่เป็นเสียงส่วนน้อยอย่างเท่าเทียมกันกับเสียงส่วนใหญ่ (ดู UNIVERSAL SUFFRAGE)